เมนูปิด

คำพิพากษาฎีกาที่396/2534

 

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

โจทก์

นายชาติชาย ทิพยนันท์ กับพวก

จำเลย

เรื่อง อายุความ

 

กฎหมายที่เกี่ยวข้องแพ่ง อายุความละเมิด ผู้ค้ำประกันยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ (มาตรา 448, 694)
อาญา อายุความ ยักยอก (มาตรา 95, 352) ป.รัษฎากร (มาตรา 118)

โจทก์ฟ้องว่า นายสำเริง เอี่ยมประเสริฐ สมัครเข้าทำงานเป็นพนักงานของโจทก์ จำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาค้ำประกันต่อโจทก์ว่า หากนายสำเริงซึ่งทำงานอยู่กับโจทก์ ทำความเสียหายต่อโจทก์ไม่ว่ากรณีใด ๆ จำเลยทั้งสองยอมชดใช้ค่าเสียหายแทนนายสำเริง โดยโจทก์ไม่ต้องเรียกร้องให้นายสำเริงชำระหนี้ก่อน นายสำเริงได้ทุจริตนำเงินสดซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวไม่นำเงินเข้าบัญชีของโจทก์ โจทก์ทวงถามนายสำเริงแล้ว นายสำเริงเพิกเฉย โจทก์จึงทวงถามจำเลยทั้งสองในฐานะผู้ค้ำประกันร่วมให้ชดใช้ความเสียหาย จำเลยทั้งสองขอผ่อนชำระ โจทก์ไม่ยอมจึงฟ้อง ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 559,444.19 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันไว้กับโจทก์ ลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันเป็นลายมือชื่อปลอม นายสำเริงไม่เคยทำละเมิดใด ๆ ต่อโจทก์ให้โจทก์เสียหาย โจทก์ไม่ได้ฟ้องตามหนังสือรับสภาพหนี้อันเกิดจากมูลละเมิดภายใน 1 ปี คดีจึงขาดอายุความจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม มิได้แสดงโดยแจ้งชัดว่านายสำเริงยักยอกเงินไปตั้งแต่เมื่อไหร่ จำนวนกี่ครั้ง แต่ละครั้งจำนวนเท่าไรคณะกรรมการสอบสวนได้รายงานให้โจทก์ทราบเมื่อไหร่ เช็คที่นายสำเริงเก็บมานั้นเป็นเช็คธนาคารอะไร จำนวนเงินเท่าไร เรียกเก็บเงินได้ทั้งหมดหรือไม่ ทำให้จำเลยเสียเปรียบต่อสู้คดีไม่ถูก จำเลยทั้งสองขอชำระหนี้แก่โจทก์แล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมรับชำระ จำเลยทั้งสองจึงหลุดพ้นจากความรับผิด ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 550,400 บาท พร้อมดอกเบี้ย

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "...ที่จำเลยฎีกาว่า สัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.5 ปิดอากรแสตมป์เพียง 1 บาท ไม่ชอบเพราะตามกฎหมายกำหนดให้ปิดอากรแสตมป์ 10 บาท จึงต้องห้ามรับฟังเอกสารดังกล่าวตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 นั้น เห็นว่า สัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.5ทำเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2522 ซึ่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น กำหนดให้ปิดอากรแสตมป์เพียง 1 บาท หาใช่ 10 บาท ดังที่จำเลยทั้งสองเข้าใจไม่ สัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.5 จึงไม่ต้องห้ามใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 จำเลยทั้งสองฎีกาในข้อสุดท้ายว่า โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ถึงตัวผู้จะพึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในวันที่ 7 มีนาคม 2527 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่8 กรกฎาคม 2528 คดีโจทก์จึงขาดอายุความนั้นเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องโดยแสดงสภาพแห่งข้อหาว่านายสำเริงพนักงานของโจทก์ได้กระทำการทุจริตเบียดบังเอาเงินของโจทก์ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเป็นเงิน 322,928.16 บาทแล้วได้หลบหนีไป โจทก์ได้แจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภออรัญประเทศเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2527 เพื่อให้จับนายสำเริงมาดำเนินคดีตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีท้ายฟ้อง นอกจากนี้คณะกรรมการสอบสวนยังตรวจพบว่านายสำเริงได้ทุจริตนำเงินสดของโจทก์ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของนายสำเริงไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวอีก 236,516.03 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นที่นายสำเริงทุจริตเบียดบังเอาเงินของโจทก์ไป 559,444.19 บาท เป็นการฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายในมูลละเมิดอันเป็นความผิดมีโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี จึงมีอายุความที่จะต้องฟ้องและได้ตัวผู้กระทำความผิดมายังศาลภายใน 10 ปี นับแต่วันกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(3) กำหนดอายุความทางอาญาจึงยาวกว่าอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก ที่กำหนดไว้เพียง 1 ปี นับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน จึงต้องเอาอายุความที่ยาวกว่านั้นมาบังคับตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสอง บัญญัติไว้จะนำอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรกมาบังคับได้ไม่ ดังนั้น โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องนายสำเริงได้ภายใน 10 ปีนับแต่วันที่นายสำเริงกระทำผิดเบียดบังเอาเงินของโจทก์ไปโดยสุจริต นายสำเริงได้รับแต่งตั้งเป็นพนักงานบัญชี มีหน้าที่เก็บเงินค่ากระแสไฟฟ้า เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2523 ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2527 พนักงานของโจทก์ตรวจพบว่า นายสำเริงเบียดบังเอาเงินของโจทก์ไปโดยทุจริต ดังนี้จึงเห็นได้ว่า ตามคำฟ้องโจทก์กล่าวหาว่านายสำเริงกระทำผิดยักยอกเอาเงินของโจทก์ไปในระหว่างวันที่ 3 มีนาคม 2523 ถึง พ.ศ. 2527 เมื่อนับแต่วันที่ 3 มีนาคม 2523 ถึงวันที่ 8 กรกฎาคม 2528 ที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันในมูลหนี้ละเมิดอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาที่นายสำเริงก่อขึ้นแทนนายสำเริงจึงไม่ยังไม่พ้นกำหนด 10 ปีคดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ในการฟ้องเรียกค่าเสียหายจากนายสำเริง ฉะนั้นการที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกัน แต่จำเลยทั้งสองได้ยกอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448วรรคแรก ซึ่งเป็นข้อต่อสู้ของลูกหนี้ขึ้นต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ โดยอาศัยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 694 ที่ให้สิทธิผู้ค้ำประกันยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ได้ด้วยจึงฟังไม่ขึ้น"

พิพากษายืน

(สุนพ กีรติยุติ - เสียง ตรีวิมล - สมศักดิ์ วิธุรัติ)

 

ปรับปรุงล่าสุด: 31-01-2021