โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยรวม 27,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยชั่งละหนึ่งบาทต่อเดือนในต้นเงิน 22,600 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองขาดนัยยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 ปิดอากรแสตมป์ แต่ไม่ มีการขีดฆ่าอากรแสตมป์ ถือว่าสัญญากู้ไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์สัญญากู้ดังกล่าวจึง ไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118 พิพากษายกฟ้อง ต่อมาโจทก์ขออนุญาตนำหนังสือสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 ไปเสียอากร และเงินเพิ่ม ศาลชั้นต้นอนุญาต โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า การที่โจทก์ ขออนุญาตต่อศาลชั้นต้นนำหนังสือสัญญากู้เอกสารหมาย จ. 1 ไปเสียอากรและ เงินเพิ่ม เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วปรากฏตามสำเนาแบบขอและอนุมัติให้เสีย อากรแสตมป์เป็นตัวเงิน ใบเสร็จรับเงิน และเจ้าหน้าที่ได้สลักหลังไว้ในหนังสือ สัญญากู้แล้วอันจะถือว่าโจทก์ได้ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 117 เป็นผลให้ศาลจำต้องรับฟังหนังสือสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวเป็น พยานหลักฐานในคดีแพ่ง ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 หรือไม่ ประ มวลรัษฎากร มาตรา 117 บัญญัติว่า "ตราสารหรือหลักฐานตามความในมาตรา 116 ที่มีผู้เสียอากรหรือเสียอากรและเงินเพิ่มอากรถ้ามี ตามความในมาตรา 113 หรือมาตรา 114 แล้วให้ถือว่าเป็นตราสารที่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ ส่วนเงิน เพิ่มอากรที่เรียกเก็บให้ถือเป็นเงินอากร" เห็นว่าตามบทบัญญัติของกฎหมาย ดังกล่าว การขออนุญาตนำตราสารไปปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์จะต้องกระทำก่อน หรือในขณะที่ได้นำตราสารนั้นมาอ้างเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งก่อนศาลชั้น ต้นจะตัดสินชี้ขาด คดีนี้ปรากฏว่าโจทก์นำสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 ไป เสียอากรและเงินเพิ่มภายหลังที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาแล้ว ดังนั้นจึงใช้เป็น พยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 อันเป็นผล ให้คดีโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานที่จะรับฟังว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ดังฟ้อง โจทก์ จะมีเจตนาฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือไม่ หาถือเป็นข้อสาระสำคัญไม่ ถ้า มิได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์อันเป็นการบกพร่องในเรื่องปิดแสตมป์บริบูรณ์แล้ว ศาลจะรับฟังเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานไม่ได้..." พิพากษายืน (พินิจ ฉิมพาลี - เสริมพงศ์ วรยิ่งยง - มีพาศน์ โปตระนันทน์) |