คำพิพากษาฎีกาที่148-149/2534 |
|
บริษัทธนาคารเอเชีย จำกัด | โจทก์ |
นางพีรรัชต์ ชัยกุล | จำเลย |
เรื่อง สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี |
|
กฎหมายที่เกี่ยวข้องป.รัษฎากร ตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ (มาตรา 118) แพ่ง หักกลบลบหนี้ | |
คดีสองสำนวนนี้ ศาลพิจารณาและพิพากษาร่วมกัน โดยเรียกโจทก์สำนวนแรกซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 สำนวนหลังว่าโจทก์ที่ 1 เรียกจำเลยที่ 2 สำนวนหลังว่าโจทก์ที่ 2 เรียกจำเลยสำนวนแรกซึ่งเป็นโจทก์สำนวนหลังว่า จำเลย โจทก์ที่ 1ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องสำนวนแรก และโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ให้การแก้คดีสำนวนหลังใจความทำนองเดียวกันว่า เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2520 จำเลยได้เปิดบัญชีเดินสะพัดประเภทเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์ที่ 1สาขาสัตหีบ ยอมปฏิบัติตามระเบียบการฝากเงินตามประเพณีและวิธีปฏิบัติงานของธนาคารพาณิชย์ ในการเดินสะพัดบัญชีต่อกัน หากเงินในบัญชีมีไม่พอจ่าย โจทก์จ่ายให้ไป จำเลยยอมรับผิดชดใช้พร้อมดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือนตามอัตราขั้นสูงสุดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดจนกว่าจะชำระเสร็จ และต่อมาวันที่ 7 มิถุนายน 2520 จำเลยได้ตกลงกู้เบิกเงินเกินบัญชีจากบัญชีดังกล่าวโดยยอมให้ดอกเบี้ยทบต้นในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จำเลยได้นำเงินเข้าบัญชีและถอนเงินออกจากบัญชีต่อมาหลายครั้ง และได้นำเงินฝากประจำบัญชีเลขที่ 348 มาเป็นประกันการชำระหนี้และตกลงให้โจทก์ที่ 1โอนเงินฝากบัญชีเลขที่ 248 ชำระหนี้ คิดถึงวันที่ 31 มีนาคม 2527 จำเลยเป็นหนี้โจทก์ที่ 1 อยู่ 119,131.90 บาท โจทก์ที่ 1 ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระ คิดถึงวันฟ้องจำเลยเป็นหนี้โจทก์ 126,114.80 บาท ขอให้บังคับให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยทบต้นถึงวันครบกำหนดทวงถามและดอกเบี้ยไม่ทบต้นถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 126,114.80 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี จากต้นเงิน 122,669.69 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยให้การแก้คดีสำนวนแรกฟ้องและแก้ไขคำฟ้องสำนวนหลังใจความทำนองเดียวกันว่า จำเลยได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและตกลงกู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นการกู้เงินเกิน 50 บาท ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ จึงฟ้องบังคับไม่ได้ จำเลยไม่เคยนำสมุดเงินฝากเลขที่ 248 ไปประกันการชำระหนี้ โจทก์ที่ 1 ที่ 2 นำเงินในบัญชีดังกล่าวไปชำระหนี้โดยจำเลยมิได้ยินยอม การกระทำของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 เป็นการผิดสัญญาและทำละเมิดต่อจำเลย ทำให้จำเลยเสียหาย ไม่ได้ดอกเบี้ยจากเงินฝาก92,300 บาท จนถึงวันฟ้อง เป็นเงิน 100,658 บาท จำเลยต้องถูกริบเงินมัดจำ 150,000 บาท เพราะเบิกเงินไปชำระค่าซื้อที่ดินไม่ได้ ขอให้โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันรับผิดชำระหนี้ 342,958 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยสำนวนแรกชดใช้เงินให้โจทก์ 45,948.41 บาท พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 31,643.11 บาทนับจากวันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขอนอกจากนี้ให้ยกเสีย ให้ยกฟ้องโจทก์สำนวนหลัง นางพีรรัชต์ ชัยกุล จำเลยอุทธรณ์ทั้งสองสำนวน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน นางพีรรัชต์ ชัยกุล จำเลยฎีกาทั้งสองสำนวน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "จำเลยรับว่าจำเลยได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันตามหนังสือขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งระบุชัดว่าจำเลยทราบประเพณีการค้าของธนาคารและระเบียบการบัญชีเงินฝากกระแสดรายวันของธนาคารตามที่ได้รับไปแล้ว และจำเลยยินยอมผูกพันตามประเพณีและระเบียบการที่ได้กำหนดไว้เช่นนี้การที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้รับระเบียบการบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.4 จึงรับฟังไม่ได้เพราะขัดกับเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งจำเลยลงชื่อเป็นผู้ขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันอย่างชัดแจ้ง ทั้งเอกสารหมาย จ.4 ก็ระบุว่า กรณีเบิกเงินเกินบัญชีนั้น ผู้ฝากต้องรับผิดชดใช้เงินส่วนที่เบิกเงินเกินบัญชีพร้อมดอกเบี้ยทบต้นรายเดือนตามประเพณีการค้าของธนาคารในอัตราขั้นสูงสุดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ฎีกาจำเลยข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีสิทธินำเงินฝากประจำของจำเลยไปชำระหนี้เพราะไม่มีข้อตกลงกันเป็นหนังสือนั้นก็แตกต่างกับคำให้การของจำเลยที่ว่าจำเลยไม่เคยนำสมุดเงินฝากประจำไปประกันการชำระหนี้ และโจทก์นำเงินในบัญชีดังกล่าวไปชำระหนี้โดยจำเลยไม่ยินยอม อย่างไรก็ตามฎีกาของจำเลยข้อนี้ก็ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกันเพราะการนำเงินฝากประจำไปชำระหนี้นั้นไม่จำเป็นต้องมีข้อตำลงกันเป็นหนังสือดังที่จำเลยฎีกาแต่ประการใดนอกจากนี้ยังน่าเชื่อตามคำเบิกความของนางอุษณีย์ ภู่ภิรมย์ พยานโจทก์ว่าเมื่อจำเลยได้รับหนังสือเอกสารหมาย ป.จ.1 ให้มาตกลงกับโจทก์เรื่องหนี้สินจำเลยก็มาติดต่อนำเงินในบัญชีเงินฝากประจำไปหักกลบลบหนี้ โจทก์จึงมีสิทธินำเงินฝากประจำของจำเลยไปชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีได้ สำหรับฎีกาของจำเลยที่ว่าหนังสือขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเอกสารหมาย จ. 3 ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์รับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้เพราะต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 นั้น เห็นว่า เอกสารหมายจ. 3 เป็นเพียงหนังสือขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์ ไม่ใช่ตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร ดังนั้น เอกสารฉบับนี้จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ที่จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไม่ได้ทำเป็นหนังสือจึงฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้นั้น เห็นว่า สัญญาที่จำเลยกล่าวอ้างนั้นคือสัญญาบัญชีเดินสะพัดซึ่งไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือหรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือแต่ประการใด ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน (ปิ่นทิพย์ สุจริตกุล - สวิน อักขรายุธ - พัลลภ พิสิษฐ์สังฆการ) |