เมนูปิด

คำพิพากษาฎีกาที่ 379/2530 
เรื่อง ภาษีอากร 
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร ,ศุลกากร พ.ศ.2469
ในกรณีที่ผู้นำของเข้าในราชอาณาจักรไม่ว่าจะเป็นผู้ได้รับอนุมัติ จากอธิบดีกรมศุลกากรให้คืนเงินอากรขาเข้า ตามพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ.2482 มาตรา 19ทวิ หรือไม่ก็ตาม จะนำของไปจาก อารักขาของศุลกากรก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีอากรจนครบถ้วนเสียก่อน เว้นแต่ จะได้วางประกันค่าอากรไว้ต่ออธิบดีกรมศุลกากร ตามมาตรา 40 และ มาตรา 112 ซึ่งกระทำได้ 2 วิธี คือ วิธีหนึ่งวางเงินไว้เป็นประกัน อีก วิธีหนึ่ง นำหนังสือค้ำประกันของกระทรวงการคลังหรือธนาคารมาวางเป็น ประกัน
ในการวางเงินเป็นประกัน ถ้าผู้นำของเข้าไม่ชำระค่าอากรขาเข้าภาษี การค้าและภาษีบำรุงเทศบาลตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ประเมิน และแจ้งให้ ทราบภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้ง และเงินประกันที่วางไว้ คุ้มค่าอากรที่พนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินแล้ว ก็ให้เก็บเงินประกันดังกล่าวเป็น ค่าอากรตามจำนวนที่ประเมินได้ทันที และให้ถือเสมือนว่าผู้นำของเข้าได้ ชำระเงินอากรที่ได้แจ้งภายในเวลาที่กำหนดดังกล่าวข้างต้นแล้ว ตามมาตรา 112ทวิ วรรคสอง
กรณีการนำหนังสือค้ำประกันของกระทรวงการคลัง หรือธนาคารมาวาง เป็นประกันมิได้มีบทบัญญัติมาตราใดแห่งพระราชบัญญัติศุลกากรบัญญัติไว้ว่า ถ้า ผู้นำของเข้าไม่ชำระค่าอากรขาเข้า ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลตามที่ พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ประเมินแจ้งให้ทราบแล้วภายในกำหนด 30 วัน นับแต่ วันที่ได้รับแจ้งก็ให้เรียกเก็บเงินจากผู้ค้ำประกันได้ทันที และให้ถือเสมือนว่า ผู้นำของเข้าได้ชำระเงินอากรที่ได้แจ้งภายในเวลาที่กำหนดข้างต้นแล้ว จำเลยนำของเข้ามาผลิต ผสม หรือประกอบเพื่อส่งออกไปยังเมืองต่าง ประเทศ หรือส่งไปเป็นของใช้สิ้นเปลืองในเรือเดินทางไปเมืองต่างประเทศ เพื่อขอคืนอากรตามพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ.2482 มาตรา 19ทวิ ได้นำหนังสือค้ำประกันของธนาคารไปวางเป็นประกันและรับของมา จากศุลกากรยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ชำระค่าอากรขาเข้า ภาษีการค้าและ ภาษีบำรุงเทศบาลแล้ว การที่ศุลกากรปล่อยหรือมอบของให้จำเลยมาโดยยอม รับหนังสือค้ำประกันของธนาคารเป็นประกัน ก็เป็นเพียงผ่อนผันการชำระค่า อากรขาเข้าให้แก่จำเลยเมื่อจำเลยมิได้ผลิตผสม หรือประกอบของที่นำเข้า มาส่งออกไปยังเมืองต่างประเทศภายในกำหนด 1 ปี ตามกฎหมายดังกล่าว
จำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะได้รับคืนอากรขาเข้าตามมาตรา 19 ทวิ (ง) และเป็น หน้าที่ของจำเลยที่จะนำอากรขาเข้า ตามที่เจ้าหน้าที่ได้ประเมินไว้ไปชำระ มิใช่เป็นหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินจะต้องติดตามทวงถามให้จำเลย ชำระค่าอากรดังกล่าวและตามพระราชบัญญัติศุลกากรก็ดีตามประมวลรัษฎากร ก็ดีมิได้กำหนดระยะเวลาให้เจ้าหน้าที่ประเมินติดตามทวงถามไว้ แต่อย่างใด ดังนั้น เจ้าหน้าที่ประเมินจะเรียกให้จำเลยหรือผู้ค้ำประกันชำระค่าอากรขา เข้าเมื่อใดก็ได้ภายในอายุความ เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าอากรที่ต้องเสีย ก็ ต้องเสียเงินเพิ่มตามมาตรา 112 จัตวา
สำหรับภาษีการค้า ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89 ทวิ วรรคท้ายได้ บัญญัติไว้ว่า วางเพิ่มตามมาตรานี้มิให้เกินกว่าจำนวนภาษีที่ต้องชำระโดยไม่ รวมเบี้ยปรับตามมาตรา 89 ซึ่งคำว่าเงินเพิ่มตามมาตรานี้หมายความว่าเงิน เพิ่มที่คิดร้อยละ 1 ต่อเดือน หรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระไม่ว่า จะเป็นเงินเพิ่มเติมที่คิดก่อน หรือภายหลังนำเงินที่วางประกัน หรือผู้ที่ค้ำ ประกันมาหัก เมื่อรวมแล้วเงินเพิ่มจะต้องไม่เกินเงินภาษีการค้าที่ต้องชำระ

 

ปรับปรุงล่าสุด: 23-01-2021