คำพิพากษาฎีกาที่ 2675/2528 | ||
นางประภา วิริยประไพกิจ | โจทก์ | |
กรมสรรพากร กับพวก | จำเลย | |
บิดามารดาโจทก์ประกอบอาชีพค้าขายมีโรงสีและฐานะร่ำรวย ได้สะสมทรัพย์สินจำพวก เครื่องเพชรพลอยทองรูปพรรณและของมีค่าอื่นไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อมารดาตาย ทรัพย์สินจำพวก เครื่องเพชรพลอย ทองรูปพรรณและของมีค่าดังกล่าวตกได้แก่โจทก์ซึ่งเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว และในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองโจทก์ค้าขายเหล็กได้กำไรมาก จึงนำเงินไปซื้อเพชรพลอยและของมีค่า เก็บสะสมไว้แทนเงินสด ซึ่งโจทก์ได้ใช้เป็นเครื่องประดับกายและประดับบ้านโดยมิได้มุ่งในทางการค้า หรือหากำไร ต่อมาในปี พ.ศ. 2515 ถึง 2517 โจทก์ต้องการเงินไปขยายกิจการ จึงขายทรัพย์สินดังกล่าวไป ซึ่งล้วนเป็นสังหาริมทรัพย์ที่กฎหมายมิได้บังคับว่าการขายสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดกหรือสังหาริมทรัพย์ ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร อันได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นั้น ผู้มีเงินได้จะต้องจัดทำบัญชีหรือแจ้งรายการต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนั้น ถึงแม้โจทก์จะไม่มีเอกสารอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นพยานหลักฐาน พยานบุคคลของโจทก์ก็มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ เมื่อจำเลยไม่มีพยานนำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงก็ต้องฟังตามที่โจทก์นำสืบว่า เงินที่โจทก์นำมาซื้อที่ดินและลงทุนเข้าหุ้นในห้างหุ้นส่วนบริษัทระหว่างปี พ.ศ. 2515 ถึง 2517 โจทก์ได้มาจากการขายทรัพย์สินเครื่องใช้ส่วนตัวอันได้รับยกเว้น ไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42 (9) การที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนดจำนวนเงินได้สุทธิของโจทก์จากทรัพย์สินสุทธิที่เพิ่มขึ้นเพราะการได้ทรัพย์สินมาดังกล่าวแล้วประเมินภาษีเงินได้ให้โจทก์ชำระ จึงไม่ถูกต้อง | ||