เมนูปิด

คำพิพากษาฎีกาที่ 2738/17 
นางกิ้น หิรัญโจทก์
นายรื่น บัญชาญจำเลย
เรื่อง หนังสือสัญญากู้เงินที่โจทก์ส่งอ้างเป็นพยานหลักฐานต่อศาลมิได้ขีดฆ่า
แสตมป์
 
กฎหมายที่เกี่ยวข้องเรียกทรัพย์สินแทนผู้เสียหาย,ประมวลรัษฎากร
การฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินภาษีและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์นั้น จะฟ้องแต่เพียงกรรมการผู้พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์เพียงบางคนก็ได้ หาขัดต่อตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ไม่
หนังสือสัญญากู้เงินที่โจทก์ส่งอ้างเป็นพยานหลักฐานต่อศาลมิได้ขีดฆ่าแสตมป์ จึงใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีไม่ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 เป็นผลให้คดีโจทก์ไม่มีหลักฐานที่จะฟังจำเลยกู้เงินโจทก์ดังฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอได้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147157 ฟ้องข้อ ก.บรรยายว่า จำเลยมีหน้าที่ควบคุมดูแลจัดการเก็บรักษา การบัญชีรับจ่ายและเงินขององค์การบริการส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ ในระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2513 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2514 เป็นเวลาถึง 1 ปี 7 เดือน จำเลยได้บังอาจยักยอกเบียดบังเอาเงินจำนวน 11,726.39 บาท ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ไป โจทก์นำสืบว่างบประมาณขององค์การบริการส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์มี 5 งบ เงินที่ฟ้องว่าจำเลยยักยอกนี้เป็นเงินในงบแร่งรัดพัฒนาชนบท และเกิดจากการที่จำเลยยักยอกเงินตามบัญชีเงินสดเกินหรือขาดไป รวม 22 รายการ แต่โจทก์มิได้บรรยายรายละเอียดที่เป็นสารสำคัญว่าเป็นเงินงบใดและแต่ละครั้งเป็นจำนวนเท่าใด และเมื่อใด ดังนี้ จำเลยไม่อาจเข้าใจข้อหาเกี่ยวกับเงินที่จำเลยต้องหาว่ายักยอก ไม่อาจแก้ข้อหาได้ถูกต้องย่อมเสียเปรียบในการต่อสู้คดี ฟ้องข้อนี้จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158
แม้ศาลชั้นต้นไม่ลงโทษจำเลยตามฟ้องข้อ ก. เพราะฟ้องไม่สมบูรณ์ แต่จำเลยก็รับว่าได้ยักยอกเบียดบังเงินจำนวน 11,726.39 บาทไป อำนาจของพนักงานอัยการที่จะว่ากล่าวเกี่ยวกับคำขอส่วนแพ่งยังคงมีต่อไปศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งให้จำเลยคืนเงินจำนวน ดังกล่าวแก่องค์กรบริการส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ได้
ฟ้องข้อ ค.ของโจทก์กล่าวว่า เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2514 เวลากลางวันจำเลย ได้รับเงินอุดหนุนองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์จำนวน 101,910 บาท จากเสมียนตราจังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อไปจ่ายเงินเดือนแก่ข้าราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยหักเงินสะสมจำนวน 4,356 บาท ไว้แล้วจำเลยยักยอกเงินจำนวน 4,356 บาทไป แม้ฟ้องจะไม่ได้ระบุวันยักยอก แต่ได้บรรยายว่าจำเลยดำรงตำแหน่งซึ่งมีหน้าที่ดูแลจัดการเก็บรักษาบัญชีรับจ่ายและรักษาเงิน ระหว่างวันที่ 19 สิงหาคม 2512 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2515 จึงเป็นฟ้องที่กล่าวหาว่าจำเลยยักยอกเงินไประหว่างวันที่ 29 มกราคม 2514 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2515ตัวเงินอยู่ในความครอบครองของจำเลย จำเลยจะมีเจตนาทุจริตยักยอกในวันเวลาใดนั้นเหลือวิสัยที่โจทก์จะล่วงรู้ได้ จำเลยก็เข้าใจข้อหาได้ดี และให้การรับสารภาพแล้ว ฟ้องข้อนี้จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158
 

 

ปรับปรุงล่าสุด: 02-01-2021