คำพิพากษาฎีกาที่ 4638/2546 | |
กรมสรรพากร | โจทก์ |
บจ. เอ็มซารูอินเตอร์เนชั่นแนล กับพวก | จำเลย |
เรื่อง ความรับผิดของผู้ชำระบัญชี | |
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 68 69 72 89 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 422 1253 1264 1270 | |
จำเลยที่ 1 ประกอบกิจการซื้อขายเพชรพลอย มีหน้าที่จัดทำรายงานสินค้าและวัตถุดิบตามประมวลรัษฎากร เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2540 เจ้าพนักงานของโจทก์ได้ออกตรวจปฏิบัติการและนับสินค้าของจำเลยที่ 1 พบว่าจำเลยที่ 1 จำหน่ายสินค้าไปแล้วไม่ได้ลงบัญชีรวมเป็นมูลค่า 1,884,585.89 บาท จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องแสดงรายการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มของสินค้าจำนวนดังกล่าวต่อโจทก์ภายในวันที่ 15 เมษายน 2540 แต่จำเลยที่ 1 ไม่ได้ชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงิน 131,921.01 บาท เบี้ยปรับตามม. 89 (4) หนึ่งเท่าของภาษีที่ต้องชำระ เบี้ยปรับตามมาตรา 89 (10) จำนวนสองเท่าของภาษีที่ต้องชำระ และต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของภาษีที่ค้างชำระคิดถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2540 เป็นเงิน 1,978.82 บาท เจ้าพนักงานประเมินออกหนังสือแจ้งการประเมินไปยังจำเลยที่ 1 ในส่วนของภาษีและเงินเพิ่ม จำเลยที่ 1 ได้ยื่นเรื่องขอลดหรืองดเบี้ยปรับ ซึ่งอธิบดีกรมสรรพากรได้พิจารณาลดเบี้ยปรับให้จำเลยที่ 1 หลังจากนั้นโจทก์จึงมีหนังสือแจ้งการประเมินในส่วนของเบี้ยปรับ คิดเป็นเงิน 145,113.10 บาท จำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินแล้ว แต่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระเบี้ยปรับให้โจทก์ โจทก์อายัดสิทธิเรียกร้องตามบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 1 ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาสีลม เป็นเงิน 4,171.36 บาท ธนาคารได้โนเงินจำนวนดังกล่าวมาชำระค่าภาษีแล้ว คงค้างชำระภาษี 140,941.64 บาท เจ้าพนักงานของโจทก์ตรวจสอบทางทะเบียนเกี่ยวกับฐานะของจำเลยที่ 1 ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 จดทะเบียนเลิกบริษัทเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2541 และจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2541 โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ชำระบัญชี ตามงบดุลในวันจดทะเบียนเลิกบริษัท จำเลยที่ 1 มีเงินสดคงเหลือ 7,820 บาท ซึ่งเป็นเงินหมุนเวียนในบริษัท และเป็นเงินคนละจำนวนกับที่อายัดจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นอกจากนี้ในงบดุลยังระบุว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์ 801,223 บาท แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้เตรียมเงินจำนวนดังกล่าวไว้เพื่อชำระภาษีให้แก่โจทก์ แต่ในการชำระบัญชีจำเลยที่ 2 ไม่ได้นำเงินจำนวนดังกล่าวมาชำระแก่โจทก์ เมื่อเจ้าพนักงานของโจทก์มีหนังสือทวงถามจำเลยที่ 2 ได้รับหนังสือแล้วแต่ไม่ชำระหนี้ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ชำระบัญชีจะต้องนำทรัพย์สินที่คงเหลือของจำเลยที่ 1 ไปชำระหนี้ภาษีอากร แต่จำเลยที่ 2 เพิกเฉย จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 |