เมนูปิด

คำพิพากษาฎีกาที่ 2278/2548 
บริษัท พรีเชียสอินทีเรีย จำกัดโจทก์

กรมสรรพากร กับพวก

จำเลย
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง มาตรา 65 ทวิ (4) มาตรา 91/15 (2) และ มาตรา 91/16 (6) ประมวลรัษฎากร

เจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกตรวจสอบภาษีสำหรับระยะเวลาบัญชีปี 2535 และปี 2536 ต่อโจทก์รวม 2 ครั้ง โดยอ้างว่ามีเหตุอันควรเชื่อว่าโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีไว้ไม่ถูกต้อง ซึ่งขณะที่เจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกให้โจทก์ครั้งแรก โจทก์ได้ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2535 แต่ยังไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2536 กรณีเช่นนี้ย่อมต้องถือว่าเจ้าพนักงานประเมินได้มีหมายเรียกโจทก์ในขณะที่โจทก์ยังไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2536 แม้โจทก์จะยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวภายหลัง เจ้าพนักงานประเมินก็มีอำนาจประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวแก่โจทก์ตามมาตรา 24 แห่งประมวลรัษฎากรได้ การที่โจทก์ไม่ใช่บริษัทในเครือเดียวกันกับ บริษัท สีลมพรีเชียสทาวเวอร์ จำกัด ทั้งไม่มีหนี้สินต่อกันย่อมไม่มีเหตุผลที่โจทก์จะให้ บริษัท สีลมพรีเชียสทาวเวอร์ จำกัด ยึดถือเงินโดยไม่คิดดอกเบี้ย แม้ว่าโจทก์จะไม่มีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาตกแต่งและไม่มีภาระหนี้สินที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยในขณะนั้นก็ตามการที่โจทก์ยินยอมให้บริษัท สีลมพรีเชียสทาวเวอร์ จำกัด ยึดถือเงินค่างวดล่วงหน้าที่ลูกค้าชำระให้แก่โจทก์โดยไม่มีดอกเบี้ยนั้นถือได้ว่าเป็นกรณีที่ไม่มีเหตุ อันสมควร แต่กลับเข้าลักษณะเป็นการให้กู้ยืมเงินโดยไม่มีดอกเบี้ยตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ทวิ (4) ซึ่งเจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินดอกเบี้ยตามราคาในวันที่กู้ยืมเงินได้ การที่โจทก์ให้กู้ยืมเงินจำนวนมากและโจทก์ทำเป็นปกติธุระทุกเดือนในช่วงปี 2534 ถึงปี 2536 เห็นได้ชัด อยู่แล้วว่าเป็นการประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ การที่โจทก์อ้างว่าไม่ได้ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์หรือเยี่ยงธนาคารพาณิชย์เพราะโจทก์มิได้มีเจตนาให้บริษัทเจ้าของโครงการกู้ยืมเงินแต่โจทก์ให้บริษัทเจ้าของโครงการยึดถือเงินค่างวดล่วงหน้าไว้เพื่อเป็นหลักประกันว่าโจทก์จะไม่ละทิ้งงานจึงฟังไม่ขึ้น ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้แล้วว่าการที่โจทก์ไม่คิดดอกเบี้ยกับบริษัทเจ้าของโครงการโดยไม่มีเหตุอันสมควร เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 91/15 (2) และ มาตรา 91/16 (6) โจทก์จึงต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะและไม่สามารถนำภาษีธุรกิจเฉพาะที่ถูกประเมินในปี2541 มาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2535 และ 2536 ได้ เนื่องจากเป็นรายจ่ายที่ควรจะจ่ายในระยะเวลาบัญชีอื่น ตามมาตรา 65 ตรี (9) แห่งประมวลรัษฎากร ส่วนประเด็นว่ามีเหตุสมควรงดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์หรือไม่ ศาลเห็นว่าเอกสารที่โจทก์นำมาอ้างอิงเป็นเอกสารปลอม พฤติการณ์ดังกล่าวส่อให้เห็นว่าโจทก์มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีและไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบภาษี จึงไม่มีเหตุสมควรงดหรือลดเบี้ยปรับสำหรับการประเมินภาษีทุกประเภทให้แก่โจทก์ ส่วนเงินเพิ่มกฎหมายกำหนดไว้แน่นอนโดยไม่มีข้อยกเว้นให้งดหรือลดได้จำต้องเป็นไปตามกฎหมาย ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจนัยไม่งดหรือลดให้แก่โจทก์ชอบแล้ว

 

ปรับปรุงล่าสุด: 12-02-2021