เมนูปิด

คำพิพากษาฎีกาที่ 3453/2548 
นายสุชาติ ลิมปานนท์ โจทก์

กรมสรรพากร

จำเลย
เรื่อง การขยายระยะเวลาฟ้องคดี และหลักเกณฑ์การงดหรือลดเบี้ยปรับ
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง มาตรา 30 (2) แห่งประมวลรัษฎากร

มาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 ประกอบด้วย มาตรา 23 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

ท.ป.81/2542

มาตรา 1200 - 1205 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

จำเลยฎีกาว่าโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2546 หากโจทก์ไม่เห็นชอบกับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว โจทก์ต้องอุทธรณ์ต่อศาลภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับแจ้ง คำวินิจฉัยอุทธรณ์ ตามมาตรา 30 (2) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งครบกำหนดในวันที่ 30 เมษายน 2546 โจทก์เพิ่งฟ้องในวันที่ 26 พฤษภาคม 2546 เกินกำหนดเวลา 30 วัน โจทก์ไม่มีสิทธินำคดีขึ้นสู่ศาล ศาลฎีกาเห็นว่ากำหนดเวลาการอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลภายใน 30 วัน เป็นกำหนดเวลาในการฟ้องคดี ถ้ามิได้ฟ้องภายในกำหนดย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง แม้เป็นกำหนดเวลาที่กำหนดไว้ในมาตรา 30 (2) แห่งประมวลรัษฎากร แต่ก็ถือว่าเป็นระยะเวลาที่เกี่ยวด้วยวิธีพิจารณาความแพ่ง อันกำหนดไว้ในประมวลรัษฎากร ศาลภาษีอากรกลางย่อมมีอำนาจขยายระยะเวลาดังกล่าวแก่โจทก์ได้ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23

คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.81/2542 เรื่อง หลักเกณฑ์การงดหรือลดเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามมาตรา 22 มาตรา 26 มาตรา 67 ตรี มาตรา 89 และมาตรา 91/21 (6) แห่งประมวลรัษฎากรฯ เป็นเพียงระเบียบที่กำหนดให้เจ้าพนักงานประเมินถือปฏิบัติ ไม่มีผลผูกพันศาลให้ต้องถือตามระเบียบ ดังกล่าว ศาลมีอำนาจพิจารณาว่าการที่เจ้าพนักงานประเมินงดหรือลดเบี้ยปรับมานั้นถูกต้องตามระเบียบดังกล่าวหรือไม่ และมีอำนาจที่จะงดหรือลดเบี้ยปรับได้เองในกรณีที่มีเหตุสมควรเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมอีกด้วย แต่กรณีมีเหตุสมควรงดหรือลดเบี้ยปรับหรือไม่นั้น เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายกล่าวอ้าง ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานให้เห็นว่ากรณีของโจทก์มีเหตุสมควรงดหรือลดเบี้ยปรับเพราะเหตุใด ทั้งข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ก็เห็นชัดเจนว่าบริษัท ข. จดทะเบียนเลิกบริษัทและอยู่ในระหว่างการชำระบัญชี โดยผู้ชำระบัญชีขายทรัพย์สินและรวบรวม รายได้หลังจากรายจ่ายแล้ว บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ เมื่อหักผลขาดทุนสะสมยกมาจากปีก่อนแล้ว บริษัทฯ มีกำไรสะสมสิ้นปี การที่บริษัทฯ จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ ไม่ถือว่าเป็นเงินปันผล เพราะมิได้จ่ายตามหลักเกณฑ์ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1200 ถึง 1205 กำหนดไว้ และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเป็นการเข้าใจกฎหมาย คลาดเคลื่อน ดังนี้ การที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ลดเบี้ยปรับลง คงเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมายนั้นชอบแล้ว ไม่มีเหตุสมควรที่จะงดหรือลดเบี้ยปรับให้แก่โจทก์มากกว่าที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัย

 

ปรับปรุงล่าสุด: 12-02-2021