คำพิพากษาฎีกาที่ 5571-5572/2548 | |
กรมสรรพากร กับพวก | โจทก์ |
ห้างหุ้นส่วนจำกัด วารินทร์ค้าไม้ กับพวก | จำเลย |
เรื่อง การประเมิน | |
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2) 65 ทวิ(4) และ 79/3(1) ประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเพื่อเรียกหนี้ภาษีอากร จำนวน 157,070.28 บาท จำเลยที่ 1 ได้ยื่นฟ้องโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 เพื่อขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ตาม ประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2) คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาพิพากษาของศาลภาษีอากรกลาง เพื่อพิจารณาว่าการประเมินของโจทก์ที่ 1 และ คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่แล้ว เมื่อศาลมีอำนาจที่จะพิพากษาเปลี่ยนแปลง แก้ไข ยกเลิก เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์นั้นได้ตามที่พิจารณาเห็นควร ระหว่างเวลาดังกล่าว โจทก์ที่ 1 ในฐานะ ที่เป็นคู่ความในคดีจึงมีหน้าที่ต้องรอฟัง คำพิพากษาของศาลจนกว่าคดีจะถึงที่สุดว่าตนมีสิทธิได้รับชำระหนี้ค่าภาษีอากร ที่โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 วินิจฉัยไว้หรือไม่ประการใด นอกจากนั้น การที่จำเลยที่ 1 ใช้สิทธิฟ้องคดีก็เป็นการดำเนินการตาม บทบัญญัติของกฎหมาย จึงไม่อาจถือได้ว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่ 1 แม้ศาลภาษีอากรกลางจะมีคำสั่งให้รวมการพิจารณาคดีของโจทก์ที่ 1 กับจำเลยที่ 1 ด้วยกันก็ตาม แต่ในการพิพากษาคดีนั้น คำพิพากษาที่ชี้ขาดคดีต้องตัดสินตามข้อหาในคำฟ้อง ห้ามมิให้พิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องตามที่บัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ดังนั้น ศาลจึงต้องแยกวินิจฉัยชี้ขาดตามคำฟ้องในแต่ละคดี เมื่อคดีที่โจทก์ที่ 1 ฟ้องบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ค่าภาษีอากรถูกพิพากษายกฟ้อง เพราะไม่มีอำนาจฟ้องแล้ว คำขอบังคับของโจทก์ที่ 1 จึงตกไปด้วย แม้ขณะเดียวกันศาลจะพิพากษายกฟ้องของจำเลยที่ 1 ก็มิได้มีผลเป็นการรับรองสิทธิในการฟ้องคดีของโจทก์ที่ 1 | |