คำพิพากษาฎีกาที่5574/2548 | |
นายสถิตย์ ลิมปานนท์ | โจทก์ |
กรมสรรพากร | จำเลย |
เรื่อง เบี้ยปรับ | |
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 27 ทวิ มาตรา 30 (2) , 40 (4) (2) , 47 ทวิ กำหนดเวลาอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลภายใน 30 วัน เป็นกำหนดเวลาการฟ้องคดี ถ้ามิได้ฟ้องภายในกำหนดย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง แม้เป็นกำหนดเวลาที่กำหนดไว้ในมาตรา 30 (2) แห่งประมวลรัษฎากรก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นระยะเวลาที่เกี่ยวด้วยวิธีพิจารณาความแพ่ง อันกำหนดไว้ในประมวลรัษฎากร ศาลภาษีอากรกลางย่อมมีอำนาจขยายระยะเวลาดังกล่าวให้แก่โจทก์ได้ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.81/2542 เรื่อง หลักเกณฑ์การงดหรือลดเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามมาตรา 22 มาตรา 26 มาตรา 89 และมาตรา 91/21 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2542 ข้อ 3 และ 4 ซึ่งกำหนดให้ลดเบี้ยปรับได้เฉพาะกรณีไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีและได้ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบไต่สวนด้วยดีและการลดเบี้ยปรับ เมื่อลดแล้วต้องให้เสียไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 นั้น เป็นเพียงระเบียบที่กำหนดให้เจ้าพนักงานประเมินถือปฏิบัติ ไม่มีผลผูกพันศาลให้ต้องถือตามระเบียบดังกล่าว ศาลมีอำนาจพิจารณาว่า การที่เจ้าพนักงานประเมินงดหรือลดเบี้ยปรับมานั้นถูกต้องตามระเบียบหรือไม่ และมีอำนาจที่จะงดหรือลดเบี้ยปรับได้เองในกรณีที่มีเหตุสมควรเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมอีกด้วย แต่กรณีมีเหตุสมควรงดหรือลดเบี้ยปรับหรือไม่เป็นข้อเท็จจริงซึ่ง โจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้าง ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานให้เห็นว่า กรณีของโจทก์มีเหตุสมควรงดหรือลดเบี้ยปรับเพราะเหตุใด ทั้งข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ก็เห็นชัดเจนว่า บริษัท เข้งหงวน จำกัด จดทะเบียนเลิกบริษัทและอยู่ในระหว่างการชำระบัญชี โดยผู้ชำระบัญชีทำการขายทรัพย์สินและรวบรวมรายได้หลังจากหักรายจ่ายแล้วบริษัทมีกำไรสุทธิ เมื่อหักผลขาดทุนสะสมยกมาจากปีก่อนแล้วบริษัทมีกำไรสะสมสิ้นปี การที่บริษัทจ่ายเงินจำนวน ดังกล่าวให้แก่โจทก์ถือไม่ได้ว่าเป็นเงินปันผล เพราะมิได้จ่ายตามหลักเกณฑ์ที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1200 ถึง 1205 กำหนดไว้ และกรณีของโจทก์ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเป็นการเข้าใจข้อกฎหมายคลาดเคลื่อน ดังนั้น การที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ลดเบี้ยปรับลงคงเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมายนั้นชอบแล้ว ไม่มีเหตุสมควรที่จะงดหรือลดเบี้ยปรับให้มากกว่าที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัย
หมายเหตุ คดีนี้ไม่มีการสืบพยาน เนื่องจากศาลเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำฟ้อง และคำให้การตรงกัน และเห็นว่ามีเหตุอื่นที่จะลดเบี้ยปรับให้โจทก์ได้ การเรียกเบี้ยปรับตามประมวลรัษฎากรนั้นมุ่งประสงค์ที่จะเรียกจากผู้เสียภาษีที่เสียภาษีไม่ถูกต้อง และจะพิจารณาลดเบี้ยปรับให้หากผู้เสียภาษีรายนั้นให้ความร่วมมือในการตรวจสอบของเจ้าพนักงานประเมิน สำหรับการลดเบี้ยปรับของศาลภาษีอากรกลาง และศาลฎีกานั้น ส่วนมากจะเป็นแนวทางเดียวกัน เช่น ผู้เสียภาษีเข้าใจข้อกฎหมายคลาดเคลื่อน ศาลก็ลดเบี้ยปรับให้ทั้งหมด สำหรับโจทก์ในคดีนี้ โจทก์ยื่นเสียภาษีเงินได้ของโจทก์โดยนำเงินได้ที่โจทก์ได้ที่บริษัทเข้งหงวน จำกัด ได้จ่ายเงินให้กับโจทก์โดยระบุตามเอกสารการจ่ายว่าเป็นเงินปันผล และออกหลักฐานให้โจทก์เพื่อสามารถนำไปเครดิตภาษีด้วย ดังนั้นในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีโจทก์จึงขอคืนภาษีตามที่โจทก์ได้รับเครดิตภาษี ซึ่งจะเห็นได้ว่าโจทก์ได้ดำเนินการถูกต้องตามประมวลรัษฎากร และตามหลักฐานที่บริษัท เข้งหงวน จำกัด ออกให้กับโจทก์ ดังนั้นจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ในคดีนี้แสดงรายการตามแบบที่ยื่นไม่ถูกต้องตามความจริง ซึ่งจะต้องเสียเบี้ยปรับ กรณีนี้หากเจ้าพนักงานประเมินเห็นว่าหลักฐานที่ บริษัทเข้งหงวน จำกัด ออกให้กับโจทก์ไม่ถูกต้อง เจ้าพนักงานประเมินก็เพียงไม่ยอมรับเอกสารดังกล่าวและเรียกให้โจทก์ชำระภาษีเพิ่มขึ้น ไม่มีกรณีที่ต้องประเมินภาษีโจทก์แต่อย่างใด มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3453/2548 , 3274/2548 , 3450/2548 , 3451/2548 ซึ่งเป็นคดีที่ผู้ถือหุ้นคนอื่นของบริษัทเข้งหงวน จำกัด ฟ้องคดีต่อศาล และศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาในทำนองเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7671/2546 โดยกรมสรรพากร เป็นโจทก์ฟ้องผู้ถือหุ้น ศาลฎีกาได้วินิจฉัยเกี่ยวกับเงินปันผลไว้อย่างละเอียด | |
ศาลภาษีอากรกลาง/ย่อ |