คำพิพากษาฎีกาที่2440/2549 | |
นายชำนาญ สิทธิวิภัทร | โจทก์ |
กรมสรรพากร | จำเลย |
เรื่อง ภาษีธุรกิจเฉพาะ | |
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 91/1(4) มาตรา 91/2 (6) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 29 พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ฯ (ฉบับที่ 244) พ.ศ. 2534 คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 82/2542 เรื่อง การเสียธุรกิจเฉพาะฯ ลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2542 | |
โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาเมื่อปี 2524 เพื่อใช้อยู่อาศัย ต่อมาวันที่ 2 มีนาคม 2535 โจทก์ให้นางสาว ส. เข้าถือกรรมสิทธิ์รวมโดยไม่มีค่าตอบแทน วันที่ 20 กรกฎาคม 2535 โจทก์กับนางสาว ส. ขายที่ดินพิพาทไปโดยไม่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ วันที่ 13 สิงหาคม 2545 เจ้าพนักงานประเมินแจ้งการประเมิน แก่โจทก์ในฐานะบุคคลในคณะบุคคลให้โจทก์ชำระภาษีธุรกิจเฉพาะโดยคำนวณจากรายรับจากการขาย ที่ดินพิพาททั้งแปลง โจทก์อุทธรณ์คัดค้านการประเมิน ว่า โจทก์ไม่ใช่บุคคลในคณะบุคคลและไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้วมีคำวินิจฉัย ว่า รายรับจากการขายที่ดินพิพาทในส่วนของโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ เพราะเป็นการขายที่ดินที่ได้ครอบครองเกินกว่า 5 ปี นับแต่วันได้มาตามมาตรา 3(6) แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 244) พ.ศ.2534 ออกตามความในมาตรา 91/2(6) แห่ง ประมวลรัษฎากร ส่วนรายรับจากการขายที่ดินพิพาทในส่วนของนางสาว ส. ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ แต่ให้งดเบี้ยปรับ คงให้เรียกเก็บภาษีพร้อมเงินเพิ่มจากโจทก์ ประเด็นแรก โจทก์มีฐานะเป็นบุคคลในคณะบุคคลในการขายที่ดินพิพาทหรือไม่ เห็นว่า โจทก์อุทธรณ์คัดค้านการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินต่อคณะกรรมการ พิจารณาอุทธรณ์ โดยระบุว่าโจทก์ไม่ใช่บุคคลในคณะบุคคลและไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามการ ประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้วมีคำวินิจฉัยว่า รายรับจากการขายที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ส่วนรายรับจากการขายที่ดินพิพาทส่วนของนางสาว ส. (ผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม) ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ระบุแต่เพียงว่าการประเมินในประเด็นอื่นของเจ้าพนักงานประเมินชอบแล้วโดยไม่ปรากฎเหตุผลว่าโจทก์ต้อง รับผิดชำระภาษีเพราะเหตุใด ในการฟ้องคดีนี้ โจทก์กล่าวในคำฟ้องโดยชัดแจ้งว่าโจทก์ไม่ใช่บุคคลในคณะ บุคคล และไม่ต้องรับผิดชำระค่าภาษีธุรกิจเฉพาะตามการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คำให้การของจำเลยกล่าวว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยไม่ได้ให้การ ปฏิเสธคำฟ้องโจทก์โดยชัดแจ้งว่าโจทก์เป็นบุคคลในคณะบุคคล จึงต้องถือว่าจำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธ คำฟ้องโจทก์ในข้อนี้ ต้องถือข้อเท็จจริงเป็นยุติตามคำฟ้องโจทก์ว่าโจทก์ไม่ใช่บุคคลในคณะบุคคล อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลภาษีอากรกลางต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามมาตรา 225 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประกอบมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรไม่รับวินิจฉัย เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าโจทก์ไม่ใช่บุคคลในคณะบุคคลในการขายที่ดินพิพาท และภาษีธุรกิจเฉพาะที่พิพาทเรียกเก็บจากรายรับจากการขายที่ดินเฉพาะส่วนของนางสาว ส. โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดในค่าภาษีดังกล่าว ปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นที่ว่า ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาเพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์โดยวินิจฉัย ตามหลักเกณฑ์ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.82/2542 เรื่อง การเสียภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขาย อสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรตามมาตรา 91/2(6) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2542 เป็นการไม่ถูกต้องเพราะคำสั่งกรมสรรพากรฉบับดังกล่าวประกาศใช้บังคับเมื่อ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2542 และไม่มีผลย้อนหลังไปใช้บังคับในปีภาษี 2535 จึงไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงงดไม่วินิจฉัย ที่ศาลภาษีอากร กลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกฎีกาคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน. |