เมนูปิด

คำพิพากษาฎีกาที่1102/2550 
บริษัท เฟิสท์ คอมเพล็กซ์ จำกัด โจทก์

กรมสรรพากร

จำเลย
เรื่อง ภาษีมูลค่าเพิ่ม การทำสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 88 (2), 88/2 (4)

โจทก์นำอาคารออกให้เช่าพื้นที่ โดยทำสัญญาเช่า 2 ลักษณะ คือทำสัญญาเช่าเพียงฉบับเดียว กับการทำสัญญาเช่าและสัญญาให้บริการเป็น 2 ฉบับแยกต่างหากจากกัน แล้วแต่ข้อตกลงกับผู้เช่าแต่ละราย ในกรณีทำสัญญาเช่ากับสัญญาให้บริการสาธารณูปโภคแยกกัน เมื่อรวมค่าเช่ากับค่าบริการแล้ว จะมีจำนวนเท่ากับการทำสัญญาเช่าฉบับเดียวฉบับเดียว คือ อัตราตารางเมตรละ 240 บาทต่อเดือน โดยผู้เช่ามีสิทธิใช้บริการภายในอาคารของโจทก์ได้ทุกประเภทเช่นเดียวกับผู้เช่าที่ทำสัญญาเช่าและสัญญาให้บริการแยกกัน จึงเป็นการประกอบกิจการทั้งที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเช่นเดียวกับกรณีการทำสัญญาเช่าและสัญญาให้บริการแยกต่างหากจากกัน กรณีที่มีการทำสัญญาเช่าฉบับเดียวดังกล่าว โจทก์จึงต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย เพราะการจะประกอบกิจการใดจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ ย่อมต้องขึ้นอยู่กับลักษณะแห่งการประกอบกิจการนั้นเป็นสำคัญ มิใช่กรณีที่เปิดโอกาสให้การเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ ขึ้นอยู่กับอำเภอใจของโจทก์กับผู้เช่า เมื่อกรณีที่มีการทำสัญญาเช่าเพียงฉบับเดียวเป็นการประกอบกิจการทั้งที่ไม่ต้อง เสียภาษีมูลค่าเพิ่มและต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่การประกอบกิจการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม คือการให้บริการนั้น โจทก์มิได้เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม การยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มของโจทก์จึงเป็น การยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มที่แสดงจำนวนภาษีที่ต้องเสียต่ำกว่าความเป็นจริง เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 88 (2) ที่จะประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม เบี้ยปรับ เงินเพิ่มได้ และการที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนดมูลค่าค่าบริการที่โจทก์ควรได้รับในอัตราค่าเช่าร้อยละ 42.85 และค่าบริการร้อยละ 57.15 ตามอัตราส่วนในกรณีการประกอบกิจการของโจทก์ ซึ่งมีการทำสัญญาเช่าและสัญญาให้บริการแยกต่างหากจากกัน ก็เป็นการกำหนดมูลค่าที่โจทก์ควรได้รับ จากการประกอบกิจการให้บริการตามหลักเกณฑ์แห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 88/2 (4) ซึ่งเจ้า พนักงานประเมินมีอำนาจกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย

 

 

ปรับปรุงล่าสุด: 12-02-2021