คำพิพากษาฎีกาที่688/2550 | |
นายมานพ พลจันทร์ | โจทก์ |
กรมสรรพากร | จำเลย |
เรื่อง ภาษีอากร | |
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 25 | |
โจทก์นำจำนวนภาษีที่ต้องชำระตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ทั้งสองฉบับมาฟ้องรวมเป็นคดีเดียวกัน แต่เป็นกรณีที่โจทก์ขายที่ดินคนละเดือนภาษีกัน ต้องถือว่าการฟ้องแต่ละเดือนภาษีตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะและตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์นั้นเป็นคนละข้อหาต่างหากจากกัน สิทธิในการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงจึงต้องพิจารณาจากจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์แต่ละฉบับ ซึ่งจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ฉบับที่เกินกว่า 50 ,000 บาท คู่ความจึงจะมีสิทธิอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์นั้นได้ตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทตาม คำวินิจฉัยอุทธรณ์แต่ละฉบับมีจำนวนไม่เกิน 50 , 000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง โจทก์อุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาฟังได้ว่า ที่ดินที่ขายใช้ในเกษตรกรรมนั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลภาษีอากรกลาง จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง และที่โจทก์อุทธรณ์ว่า พระราชกฤษฎีกาฯ ( ฉบับที่ 244 ) พ.ศ.2534 เป็นกฎหมายมหาชนต้องตีความโดยเคร่งครัด ข้อยกเว้นตามมาตรา 3 (5) ที่ว่าไม่รวมถึงที่ดินที่ผู้นั้นใช้ในเกษตรกรรมนั้น กฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าไม่รวมถึงที่ดินที่ผู้ขายมีไว้ในการประกอบกิจการเกษตรกรรม เมื่อข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์ฟังได้ว่าโจทก์ปลูกต้นไม้เป็นปกติในที่ดินจึงเข้าข้อยกเว้นของกฎหมายดังกล่าวแล้วนั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลภาษีอากรกลาง เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย อันถือได้ว่าเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน อุทธรณ์ของโจทก์จึงต้องห้ามตาม บทกฎหมายดังกล่าว |