คำพิพากษาฎีกาที่ 4347/2551 | |
กรมสรรพากร | โจทก์ |
บริษัท เค. เอส. พี. ออโต้พาร์ท จำกัด โดย | จำเลย |
นายอารีย์ ดวงฉวี ผู้ชำระบัญชี | |
เรื่อง การแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ภายหลังจดทะเบียนเลิกบริษัท | |
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 30 (2) | |
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1249 และ มาตรา 1272 | |
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1249 บัญญัติว่า ห้างหุ้นส่วนก็ดี บริษัทก็ดี แม้จะได้เลิกกันแล้ว ก็ให้พึงถือว่ายังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็น เพื่อการชำระบัญชี เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ได้แจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะรายนี้ให้จำเลยทราบก่อนจำเลยจดทะเบียนเลิกบริษัท จำเลยอุทธรณ์เฉพาะประเด็นเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม และโจทก์ได้แจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้จำเลยทราบโดยชอบแล้ว เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2548 แม้ภายหลังจากที่จำเลยได้จดทะเบียนเลิกบริษัทและจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีแล้วก็ตาม แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1272 ยังบัญญัติว่า ในคดีฟ้องเรียกหนี้สินซึ่งห้างหุ้นส่วน หรือบริษัท หรือผู้เป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้น หรือผู้ชำระบัญชีเป็นลูกหนี้อยู่ในฐานเช่นนั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชี ดังนั้น แม้เป็นเวลาภายหลังที่จำเลยได้จดทะเบียนเลิกบริษัทและจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีแล้ว แต่ยังอยู่ระหว่างเวลาที่โจทก์อาจฟ้องคดีได้ ซึ่งโจทก์ก็ได้ฟ้องคดีนี้ภายในกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว โจทก์ย่อมแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้แก่จำเลยได้ ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาว่า โจทก์แจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้จำเลยทราบภายหลังจากที่จำเลยได้จดทะเบียนเลิกบริษัทแล้ว จำเลยจึงไม่ใช่นิติบุคคลที่จะต้องเสียภาษีตามกฎหมายอีกต่อไป โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่เห็นพ้องด้วย |